วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558

พร้อมหรือยัง!!! ที่จะโบกมือลาพุงพะโล้.. ที่ยื่นออกมาเกินหน้าเกินตา??

การลดไขมันหน้าท้อง


คุณเคยเดินเล่นอยู่ แล้วพบหญิงสาวในฝันหรือชายในดวงใจบ้างหรือเปล่าครับ
            ถ้าเคยเราก็คงอยากจะเข้าไปทักทายยิ้มหวานให้กับเขาหรือเธอคนนั้น แต่คุณคงไม่มีโอกาสได้ทำเพราะตอนนี้คุณกำลังเริ่มหน้ามืดตาลาย เพราะสเตย์ที่หนาแน่นที่ทำหน้าที่รัดหน้าท้องของคุณให้เรียบเนียนนั่นเอง แต่ว่าจะเนียนอวดคนในฝันคุณอาจเสียชีวิตไปก่อนเพราะโดนสเตย์รัดตายโดยประมาณ
             ปัจจุบันมีหลายคนที่พยายามจะลดหน้าท้อง โดยออกกำลังกายวันละหลายชั่วโมงหรือพึ่งเครื่องมือออกกำลังกายเพื่อที่จะให้หน้าท้องเล็กลง แต่ยิ่งลดไหงยิ่งกลับเพิ่มเอาเพิ่มเอาแบบไม่ปราณีจนต้องมานั่งชีช้ำในหัวใจ แต่วันนี้มีวิธีลดหน้าท้องโดยการผ่าตัดที่เรียกว่า Abdominoplasty หรือ Tummy Tucks ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือการดูดไขมัน(Liposuction) สามารถทำได้ทั้งหน้าท้องและเฉพาะส่วน แต่ก่อนที่คุณจะทำการดูดไขมันคุณต้องทราบถึงจุดประสงค์ของการดูดไขมันกันเสียก่อนนะครับ คือดูดเพื่อให้สัดส่วนของร่างกายดูดีขึ้น แต่ไม่ใช่เพื่อการลดน้ำหนักโดยตรง
            
        ลดไขมันผ่านการแต่งตัว
            พร้อมหรือบยังครับกับการโบกมือลา เจ้าหน้าท้องน้อย ๆ ที่ยื่นออกมาจนเกินหน้าเกินตาคุณผู้เป็นเจ้าของ ถ้าร่ำลาสั่งเสียกันจนเป็นที่พอใจแล้ว ผมก็จะทำการพรากคุณกับเจ้าไขมันหน้าท้องเสียเดี๋ยวนี้

        พร้อมแล้วนะครับ ห้า . . .สี่ . ..สาม . . .สอง . . .หนึ่ง . . . !!!!!


การผ่าตัดเป็นการตัดผิวหนังส่วนที่เหี่ยวย่นออก รวมทั้งตัดไขมันหน้าใต้ท้องออกและทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องตึงขึ้น ซึ่งสาเหตุของหน้าท้องหย่อนยานอาจะมีได้มากมาย แต่ส่วนมากเกิดจากการตั้งครรภ์และน้ำหนักที่ลดลงหรือเพิ่มขึ้น โดยผนังหน้าท้องมีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ ผิวหนัง ไขมัน และกล้ามเนื้อหน้าท้อง
ดังนั้นหน้าท้องที่ป่องออกมาอาจเกิดจากส่วนใดส่วนหนึ่งที่มากเกินไป การผ่าตัดแก้ไขขึ้นอยู่กับคุณว่ามีส่วนใดที่เกิน ซึ่งวิธีผ่าตัดมีดังนี้
1.การตัดหนังและไขมัน ใช้ในกรณีที่มีผิวหนังและไขมันมากเกินไป
2.การตัดหนัง ไขมันและเย็บกล้ามเนื้อหน้าท้องใช้ในกรณีที่มีส่วนเกินทั้ง 3 ส่วน เหมาะกับผู้ที่เคยตั้งครรภ์มาก่อนและมีหน้าท้องที่หย่อนยาน โดยการผ่าตัดนี้จะช่วยให้มีรูปร่างดีขึ้น มีหน้าท้องที่เรียบแบนและจะช่วยลดรอยแตกของผิวหนังหน้าท้องได้อีกด้วยแต่การผ่าตัดนี้เป็นการผ่าตัดใหญ่กว่าวิธีอื่น ต้องให้ยาสลบและนอนพักในโรงพยาบาล 2-3 วัน จะมีแผลยาวที่บริเวณหน้าท้องและแผลที่รอบสะดือ

ผู้ที่ไม่เหมาะกับการผ่าตัดชนิดนี้ คือ
1.ผู้ที่ต้องการมีบุตรอีก
2.มีภาวะจิตใจไม่ปกติ
3.ยอมรับเรื่องแผลเป็นที่ยาวไม่ได้
4.เคยมีแผลผ่าตัดเหนือสะดือในแนวนอน

การดูแลตัวเอง
หลังผ่าตัดคุณจะต้องนอนในท่ากึ่งนั่ง 4-5 วัน นอนพักสัก 2 วัน ที่เตียง โดยลุกเฉพาะจำเป็นควรใส่สายรัดหน้าท้องอย่างน้อย 1 เดือนเพื่อให้หน้าท้องอยู่ตัว ตัดไหมได้หลังผ่าตัด 10-14 วัน ออกกำลังกายได้หลังจากผ่าตัดแล้ว 6 สัปดาห์ (เอ้า !! หนึ่งสอง..หนึ่งสอง...)

โดยการดูดไขมัน
การดูดไขมันมีการทำมาประมาณ 30 ปีมาแล้ว เป็นการผ่าตัดที่ปลอดภัยแบบหนึ่ง จุดประสงค์ของการดูดไขมันไม่ใช่การลดความอ้วน แต่เพื่อทำให้ร่างกายได้สัดส่วนและรูปร่างที่ดีขึ้น ก่อนการดูดไขมันต้องวิเคราะห์ตรวจดูโครงสร้างของร่างกายของคุณก่อนว่าส่วนไหนไม่เท่ากัน ส่วนไหนนูนมาก ส่วนไหนมีหลุม มีไขมันมาก เมื่อวิเคราะห์ได้แล้ว เช่น มีไขมันที่หน้าท้องมากกว่าส่วนอื่น ก็สามารถลดหน้าท้องได้โดยการดูดไขมันส่วนเกินออก
หลักการของการดูดไขมัน คือ การลดจำนวนของเซลล์ไขมันลงในบริเวณที่เราต้องการ โดยใช้เครื่องดูดแรงดันสูง (Aspirating Pump) ต่อเข้ากับท่อที่ใช้ดูดไขมัน (Cannula) โดยเจาะรูขนาด 0.5 เซนติเมตรบริเวณที่ต้องเจาะรูไขมัน (ย้ำอีกครั้งนะครับว่าเป็นท่อไม่ใช่พอเจาะรูเสร็จก็เผลอเสียบหลอดดูดเฉยเลย) และสอดท่อผ่าแผลขนาดเล็กเข้าไปใช้แรงจากเครื่องดูดทำการดูดไขมันออก
บริเวณที่นิยมดูดไขมันและได้ผลดี คือ คาง คอ ต้นแขน หน้าท้อง สะโพกและต้นขา ส่วนบริเวณที่การดูดไขมันได้ผลไม่ดีนักคือ เข่า น่อง ข้อเท้า ความหนาของชั้นไขมันบริเวณที่ต้องการดูดควรมากกว่า 2-3 เซนติเมตร
จะมีแผลเล็กขนาด 0.5 เซนติเมตร เพื่อสอดท่อดูดไขมัน เช่น ถ้าคุณต้องการดูดไขมันที่หน้าท้องจะมีแผลที่หัวเหน่าสะดือ ส่วนใหญ่จะใช้ยาชาในการดูดไขมัน ซึ่งหลังทำคุณสามารถเดินตัวปลิวกลับบ้านได้เลย แต่บางรายที่ต้องการดูดไขมันมาก ๆ อาจจะต้องใช้ยาสลบ ซึ่งต้องนอนพักโรงพยาบาล 1 คืน


วิธีการดูไขมัน
การดูดไขมันโดยทั่วไปมีวิธีการทำ 2 รูปแบบ คือ
1.ใช้เครื่องดูดที่มีกำลังแรง เหมาะสำหรับพื้นที่มากๆ
2.ใช้ไซริ้งซ์กับเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ เมาะกับสำหรับพื้นที่เล็กน้อย
สำหรับการดูดไขมันในแต่ละครั้ง ไม่สามารถทำให้น้ำหนักลดลงได้ถาวรเพราะฉะนั้นคุณต้องควบคุมอาหารควบคู่ไปด้วย เพราะการดูดไขมันนั้นไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเปลี่ยนไปมากนักเพราะว่าไขมันมีน้ำหนักเบา แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนคือรูปทรงมากกว่า เช่น หน้าท้องที่ป่องก็จะแบนเรียบลง

การเตรียมร่างกายก่อนดูดไขมัน
-หยุดยาที่ทำให้เลือดออกง่ายเช่น Aspirin ก่อน 2 อาทิตย์
- ทำความสะอาดร่างกายก่อดูดไขมัน พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ต้องกังวล
- หยุดสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์ก่อนดูดไขมัน
- งดน้ำ งดอาหาร ก่อนดูดไขมัน 6-8 ชั่วโมง
- ตรวจสุขภาพก่อนการดูดไขมัน
- ควบคุมน้ำตาลในเลือดกรณีที่คุณเป็นเบาหวาน
- ควบคุมความดันกรณีเป็นโรคความดันและก่อนจะผ่าตัดก็ต้องเช็คประวัติก่อนว่าเคยแพ้ยาหรือเปล่า
- ที่สำคัญควรรู้ว่า บริเวณไหนที่มีไขมันมากแบะบริเวณที่ติดไม่ควรดูดคือถ้าดูดมากจะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเป็นคลื่นได้ง่าย

            หลังดูดไขมันล่ะ ควรเตรียมตัวอย่างไร
         ควรใส่สเตย็รัดบริเวณที่ดูด 4 สัปดาห์ ยกเว้นอาบน้ำ (ถ้าจะใส่ก็คงห้ามไม่ได้แต่ผมไม่อยากจะนึกภาพจริง ๆ นะครับ) โดยใส่ทั้งกลางวันและกลางคืน และควรบีบนวดผิวหนังบริเวณที่ดูดไขมันเพื่อให้ผิวหนังเรียบ วิธีการนวดด้วยมือหรือตัวกลิ้งกลม ๆ ก็ได้
- ช่วงระยะหลังผ่าตัด 1-3 วันแรก หมอจะนัดมาเอายางที่กันเลือดคั่งออก
- 3-5 วัน ผิวหนังบริเวณที่ดูดจะเขียวและบวมช้ำ
- 7-10 วัน อาการเขียวจะค่อย ๆ ลดลง
- 4-6 สัปดาห์ อาการบวมจะค่อย ๆ ลดลง
- 8-10 สัปดาห์ บริเวณที่ดูดไขมันมากจะยุบลง
- การรับประทานอาหาร รับประทานได้ทุกอย่างแต่อย่ามากเกินและไม่มีของแสลงครับ (หลายคนเริ่มยิ้ม เพราะไม่มีของแสลงแบบนี้มันเปิดช่องกันชัด ๆ !!)
            ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดพบได้น้อยกว่าการผ่าตัดอื่น แต่ก็เกิดขึ้นได้บ้าง เช่น มีเลือดออก แผลติดเชื้อ ส่วนการดูดไขมันที่มากเกินไปก็มีข้อเสียคือ อาจทำให้บริเวณที่ดูดขรุขระ หรือผิวหนังมีสีเข้มขึ้น ซึ่งการดูดไขมันกับหมอผู้เชี่ยวชาญจะช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้อย่างดี
การดูแลหลังผ่าตัดไม่มีอะไรยุ่งยาก คุณจะปวดแผลไม่มากนัก อาจจะมีรอยเขียวช้ำบ้างแต่จะหายภายใน 2-3 สัปดาห์ หลังดูดไขมันจะใช้ผ้าพัน Elastic Bandage พันบริเวณที่ดูดไขมันให้แน่นพอประมาณ เพื่อป้องกันเลือดออกและช่วยให้ยุบบวมเร็วขึ้นควรพันผ้าไว้ประมาณ 7 วันและกลับไปพักผ่อนต่อที่บ้านประมาณ 4-5 วัน คุณสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติหลังจากดูดไขมันไปแล้ว 3 สัปดาห์


การดึงหน้าท้อง
เป็นการแก้ปัญหาหน้าของผู้หญิงที่มีหน้าแตกลาย (ไม่ใช่ออกลายนะครับ)  หรือหน้าท้องหย่อนยานขาดความยืดหยุ่น มักทำในผู้หญิงที่มีบุตรแล้วหรือผู้หญิงที่อ้วนมาก ๆ

ดึงหน้าท้องเพื่อ...
1.แก้ไขท้องลาย
2.แก้ไขหน้าท้องหย่อนยาน
3.แก้ไขแผลเป็นในแนวตั้ง
4.แก้ไขรูปสะดือที่ไม่งาม

            ปัญหาทั้ง 4 ประการจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปและผลพวงที่จะตามมาคือคุณจะได้เอวที่คอดหน้าท้องที่แบนเรียบ และสะดือที่ได้รูปทรงมากขึ้น แต่คุณจะมีรอยเย็บที่บริเวณหัวเหน่าหรือบริเวณเหนือหัวเหน่า ซึ่งคุณต้องยอมรับแผลเป็นในแนวนอนที่จะเกิดขึ้นจึงจะทำการผ่าตัดเสร็จ หลายคนไม่ยอมรับแผลที่เกิดขึ้น
            ดังนั้นก่อนผ่าตัดคุณจึงควรทำความเข้าใจกับสิ่งจะเกิดขึ้นโดยแนะนำคุณให้ดูรูปของแผลในแนวต่าง ๆ และลักษณะของแผลที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะตัวเล็ก ๆ  แผลอาจจะตึงมากซึ่งจะมีโอกาสเกิดการขยายกว้างของรอยแผลเย็บหรือเกิด Keloid ได้มากกว่าคนที่อ้วนหรือมีหนังเกินออกมามาก อีกตำแหน่งหรือแผลรอบ ๆ สะดือซึ่งต้องให้คำแนะนำให้คุณผ่าตัดเด็ดขาด
            สำหรับการดึงหน้าท้องในต่างประเทศจะต่างกับคนในอาเซียคือ มักต้องการแผลที่อยู่ต่ำมาก ๆ ถึงหัวเหน่า บางประเทศนิยมเย็บปิดสะดือเลย เช่นเยอรมัน แผลของคนยุโรป อเมริกา มักจะเกิดแผลเป็น  Keloid น้อยกว่าคนเอเชีย ดังนั้นคนไทยซึ่งเป็นคนเอเชียจึงต้องคำนึงถึงเรื่องแผลที่เกิดขึ้น และคนไทยมักนิยมแผลระดับแผลหัวเหน่าหรือสูงกว่าเล็กน้อยแต่ต้องหลบอยู่ในกางเกงใน ซึ่งมักต้องอยู่ลักษณะกางเกงในที่ใส่ว่าเป็นกางเกงทรงใด เพื่อให้แผลเป็นหลบตามขอบกางเกงใน...เพราะเขาเป็นแผลขี้อายเหมือนเจ้าของนั่นแหละครับ...

            สะดือก็มีการตกแต่งรูปแบบต่าง ๆ บางคนชอบกลม บางคนชอบรี บางคนชอบรูปหัวใจ ซึ่งหมอสามารถทำให้ได้ตามต้องการครับ (แต่รูปชินจัง หมีพรู ยังไม่มีวางตลาดนะครับ) ดังนั้นคุณ ๆ ผู้หญิงทั้งหลายหากต้องการตัดหน้าท้องขอปรึกษาหมอที่ผ่าตัดก่อนและดูแผลที่เกิดขึ้นว่ารับได้หรือเปล่าด้วยนะครับเพื่อป้องกันการผิดหวังที่ตามาภายหลังคุณต้องชั่งใจเอาแล้วล่ะครับว่าระหว่างแผลที่เกิดกับรอยย่นแตกที่หายไปว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน

แหล่งที่มา : หนังสือ เสกสรรค์...ปั้นสวย  โดย นพ.สุรสิทธิ์  อัศดามงคล
สอบถาม   : โรงพยาบาลบางมด โทร. 02-867-0606 ต่อ 1200, 089-1436385
                   Line ID: bangmod, pr-bangmod







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น